โรคไข้เลือดออก

ไข้เลือดออกจัดเป็นเขตร้อนและเป็นโรคที่พบบ่อย ปัจจุบันพบผู้ป่วยจำนวนสูงขึ้นเมื่อเข้าสู่หน้าฝนเพราะปริมาณยุงลายเพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่ผู้ป่วยไข้เลือดออกนั้นจะเป็นผู้ป่วยเด็กถึง 30% โดยมักเป็นเด็กในช่วงอายุห้าถึง 14 ปี โดยโรคมีความรุนแรงแตกต่างกันในผู้ป่วยแต่ละรายในกรณีที่รุนแรงมากอาจเสียชีวิตได้

สาเหตุของโรคไข้เลือดออก

ไข้เลือดออกเกิดจากการติดเชื้อไวรัสเดงกี่ (dengue virus) ซึ่งมียุงลาย 2 ชนิดได้แก่ ยุงลายสวนและยุงลายบ้านเป็นพาหะของโรค  ดังนั้นการติดต่อไข้เลือดออกเกิดจากการที่คนถูกยุงลายกัด โดยเป็นยุงลายที่มีเชื้อไข้เลือดออกอยู่ในตัวยุง โดยทั่วไปอาการจะเกิดขึ้นประมาณ 3-7 วันหลังจากถูกยุงกัด

กลุ่มเสี่ยงที่จะเกิดโรครุนแรง

• ผู้ป่วยเด็กเล็กอายุน้อยกว่า 5 ปี
• ผู้สูงอายุมากกว่า 65 ปี
• หญิงตั้งครรภ์
• ผู้ป่วยที่มีโรคอ้วน โรคเบาหวาน
• ผู้ป่วยภูมิคุ้มกันบกพร่อง
• ผู้ป่วยที่มีเม็ดเลือดหรือภาวะเกร็ดเลือดผิดปกติ

อาการของโรคไข้เลือดออก

สำหรับอาการของโรค ความรุนแรงที่หลากหลายจากน้อยไปมาก แบ่งเป็นสามระยะ ดังนี้

1. ระยะไข้ ผู้ป่วยอาจมาด้วยอาการไข้สูง (มากกว่า 38.5 องศาเซลเซียส) 2-7 วัน หรือมีอาการอื่น ๆ ที่
ไม่ได้จำเพาะ เช่น อ่อนเพลีย รับประทานอาหารได้น้อย หรืออาจมาด้วยอาการผิดปกติของระบบทางเดินอาหาร เช่น คลื่นไส้ อาเจียน  ถ่ายเหลว เป็นต้น

2.ระยะวิกฤตหรือระยะช็อค พบในผู้ป่วยบางราย อาจพบเลือดออกจากอวัยวะต่าง ๆ เช่น มีจุดเลือดออกตามตัว เลือดออกทางไรฟัน อาเจียนเป็นเลือดหรือถ่ายเป็นเลือดหรือ เลือดออกออกจากอวัยวะภายในอื่น ๆ ตัวจากเกร็ดเลือดต่ำ ความดันโลหิตต่ำลง เป็นต้น

ผู้ป่วยที่เข้าสู่ระยะวิกฤตนั้นมักเป็นผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง หรือผู้ป่วยแข็งแรงดีที่มีประวัติเคยติดเชื้อไข้เลือดออกมาก่อน เนื่องจากผู้ป่วยในกลุ่มนี้มักมีภูมิคุ้มกันเดิมต่อเชื้อไวรัสไข้เลือดออกอยู่แล้วเมื่อมีการป่วยในครั้งใหม่จะไปกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้ตอบสนองอย่างรุนแรง เกิดการหลั่งสารที่ทำให้เกิดความดันโลหิตต่ำ เกร็ดเลือดต่ำ ทำให้เกิดเลือดออกและอาการช็อกซึ่งเป็นลักษณะเด่นของภาวะวิกฤตในโรคไข้เลือดออก

3.ระยะฟื้นตัว เป็นระยะที่ไข้ลง รับประทานอาหารได้มากขึ้น อาจพบมีผื่นแดงตามตัว (convalescence rash)

การวินิจฉัย

ไข้เลือดออก สามารถวินิจฉัยได้โดยการส่งตรวจหาเชื้อไข้เลือดออกโดยตรง (NS1Antigen, PCR for dengue virus) หรือสามารถตรวจหาภูมิคุ้มกันต่อโรคไข้เลือดออกได้ (Dengue IgM)

การดูแลโรคไข้เลือดออก

การดูแลผู้ป่วยไข้เลือดออก ยังไม่มียาต้านไวรัสจำเพาะต่อโรค จึงมุ่งเน้นไปที่การดูแลประคับประคองตามอาการที่สอดคล้องกับระยะของโรค ตามที่กล่าวไปแล้วข้างต้น

🔹 แนะนำให้ผู้ป่วยเช็ดตัวลดไข้

🔹 กินยาลดไข้พาราเซตามอลหลีกเลี่ยงการให้ยาลดไข้ในกลุ่มแอสไพรินหรือไอบรูโปรเฟน เพราะยากลุ่มนี้จะไปยับยั้งการทำงานของเกร็ดเลือด ซึ่งถ้าหากผู้ป่วยได้เข้าสู่ระยะวิกฤตจะยิ่งทำให้โรคแย่ลง มีเลือดออกรุนแรงมากกว่าปกติได้

🔹 ดูแลเรื่องสารน้ำ ควรตรวจสอบให้มั่นใจว่าผู้ป่วยดื่มน้ำหรือน้ำเกลือแร่ได้เพียงพอ หากมีอาการคลื่นไส้อาเจียน สามารถรับประทานยาแก้คลื่นไส้อาเจียนได้เพื่อลดการสูญเสียสารน้ำออกนอกร่างกาย นอกจากนี้ต้องสังเกตปริมาณและจำนวนครั้งในการปัสสาวะ หากผู้ป่วยมีปัสสาวะน้อยลงซึ่งเป็นอาการสำคัญของภาวะขาดน้ำ แนะนำให้พามาพบแพทย์ที่โรงพยาบาล

🔹 สังเกตจุดเลือดออกตามตัวหรือหากมีภาวะเลือดออกจากอวัยวะต่างๆภายในร่างกายตามที่กล่าวไปข้างต้น แนะนำมาโรงพยาบาล

การป้องกันการติดโรคไข้เลือดออก

1. ป้องกันให้ถูกยุงกัด โดยอาจใช้เป็นมุ้งการใช้ยากันยุงหรือใช้ผลิตภัณฑ์สมุนไพรจากธรรมชาติ เช่น ตะไคร้เพื่อไล่ยุง

2. การจัดการสิ่งแวดล้อมที่อยู่อาศัยกำจัดแหล่งเพาะพันธ์ยุงลายยุงลายชอบอยู่ในน้ำนิ่งดังนั้นควรจะกำจัดแหล่งน้ำนิ่งซึ่งเป็นแหล่งเพาะพันธ์ยุงลายเพื่อไม่ให้เกิดลูกอ่อนยุงลายซึ่งจะกลายเป็นยุงต่อไปในอนาคต

3. การฉีดวัคซีนไข้เลือดออก ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันไข้เลือดออกที่มีการศึกษารายงานว่ามีประสิทธิภาพในการป้องกันไข้เลือดออกค่อนข้างสูงถึง 80-90%  โดยวัคซีนช่วยลดโอกาสการติดโรคไข้เลือดออก ช่วยลดโอกาสการนอนโรงพยาบาลและลดโอกาสการเกิดโรครุนแรง เมื่อผู้ป่วยเข้าสู่ระยะวิกฤต

ข้อมูลโดย : พญ.นพไท โศจิศิริกุล