ความเครียด คือ สภาวะทางด้านอารมณ์และจิตใจที่เกิดขึ้นได้กับบุคคลทุกเพศ ทุกวัยเมื่อเราต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่รู้สึกกดดัน ไม่สบายใจ หรือถูกคุกคาม เช่น ปัญหาการทำงาน การเงิน ความรัก เป็นต้น โดยเป็นปฏิกิริยาตอบสนองอย่างหนึ่งของมนุษย์ แต่ความเครียดที่มักพบได้บ่อยในปัจจุบันนั้นก็คือ ความเครียดในการทำงาน (Work stress

ความเครียดในการทำงาน (Work Stress) หมายถึง ปฏิกิริยาทางกายและใจที่เกิดขึ้นเมื่อความต้องการของงานเกินกว่าทรัพยากรหรือความสามารถของบุคคลในการรับมือ ความเครียดระดับหนึ่งอาจช่วยกระตุ้นให้เราตื่นตัวและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่เมื่อสะสมมากเกินไป จะนำไปสู่ปัญหาทั้งสุขภาพกายและจิตใจ
สาเหตุของความเครียดในการทำงานเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย เช่น
❇️ภาระงานที่หนักเกินไปและเวลาทำงานไม่แน่นอน
❇️ความคาดหวังจากผู้บังคับบัญชา
❇️ความไม่มั่นคงในตำแหน่งหน้าที่การงาน
❇️บุคลากรไม่เพียงพอเจ้าหน้าที่ต้องรับผิดชอบงานจำนวนมากกว่ากำลังที่มี
❇️ข้อจำกัดด้านทรัพยากรและระบบ อุปกรณ์ไม่ครบถ้วน ระบบงานซับซ้อน หรือการสื่อสารที่ไม่ราบรื่น
❇️ความสัมพันธ์ในที่ทำงาน ความขัดแย้งกับเพื่อนร่วมงานหรือผู้บังคับบัญชา ทำให้บรรยากาศการทำงานตึงเครียด

เมื่อความเครียดสะสมหรือยืดเยื้อ มักจะส่งผลเสียทั้งทางร่างกาย (เช่น ปวดศีรษะ ปวดหลัง นอนไม่หลับ) และทางจิตใจ (เช่น วิตกกังวล หงุดหงิด หมดแรงใจ) ความเครียดที่ดำเนินต่อเนื่องโดยไม่ได้รับการดูแล อาจนำไปสู่ ภาวะ Burnout หรือการหมดไฟในการทำงาน ซึ่งแสดงออกใน 3 ด้านหลัก ได้แก่
▶️อารมณ์เหนื่อยล้า รู้สึกหมดพลังทั้งกายและใจ
▶️มองงานและผู้ป่วยอย่างห่างเหิน เริ่มเฉยชา ไม่อินกับงานเหมือนเดิม
▶️ลดคุณค่าตนเอง รู้สึกว่าทำงานไม่มีคุณภาพ ไม่เกิดผลลัพธ์ที่ดี
❇️สิ่งเหล่านี้สามารถกัดกินทั้งพลังใจ สุขภาพกาย และคุณภาพชีวิตโดยรวมได้อย่างมาก เราจึงควรมีแนวทางในการดูแลตนเองและจัดการความเครียดในการทำงานดังต่อไปนี้
☑️รับรู้และสังเกตสัญญาณเตือนความเครียดของตนเอง เริ่มจากการสังเกตสัญญาณของร่างกายและจิตใจ เช่น เหนื่อยง่าย ใจสั่น ขาดสมาธิ หรืออารมณ์แปรปรวน การยอมรับว่าตนเอง “กำลังเครียด” เป็นก้าวแรกที่สำคัญในการดูแลตนเอง
☑️จัดลำดับความสำคัญของงาน แทนที่จะพยายามทำทุกอย่างพร้อมกัน ลองแบ่งงานออกเป็นส่วนย่อย และเรียงลำดับว่างานใดสำคัญที่สุด วิธีนี้ช่วยลดความรู้สึกท่วมท้นและเพิ่มความมั่นใจในการจัดการงาน
☑️สร้างขอบเขตระหว่างงานกับชีวิตส่วนตัว หากเป็นไปได้ กำหนดเวลาชัดเจนว่าช่วงไหนคือเวลางาน และช่วงไหนคือเวลาพักผ่อน อย่าปล่อยให้การทำงานล่วงเข้ามาในเวลาพักผ่อนจนหมดสิ้น
☑️ใช้เทคนิคการผ่อนคลาย การหายใจลึก ๆ (Deep Breathing) การฝึกสติ (mindfulness) หรือการยืดเหยียดกล้ามเนื้อสั้น ๆ ระหว่างวัน สามารถลดระดับความตึงเครียดของระบบประสาทและช่วยให้ใจสงบขึ้น
☑️ดูแลร่างกายพื้นฐาน สิ่งพื้นฐานเหล่านี้คือเกราะป้องกันความเครียดที่ดีที่สุด เช่น นอนให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เป็นต้น
☑️พูดคุยและขอความช่วยเหลือ การแบ่งปันความรู้สึกกับเพื่อนร่วมงาน คนใกล้ชิด หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต สามารถช่วยลดภาระในใจและมอบมุมมองใหม่ ๆ ในการแก้ปัญหา
☑️เรียนรู้ที่จะบอก “ไม่” อย่างเหมาะสม หลายคนสะสมความเครียดเพราะไม่กล้าปฏิเสธงานหรือความคาดหวังที่เกินกำลัง การสื่อสารด้วยความสุภาพแต่หนักแน่น จะช่วยให้คุณรักษาสมดุลระหว่างการทำงานกับการดูแลตัวเอง

ความเครียดไม่ใช่สิ่งเลวร้ายเสมอไป หากอยู่ในระดับที่เหมาะสม มันช่วยให้เราตื่นตัวและมีกำลังในการทำงาน หากพบว่าความเครียดกระทบต่อสุขภาพกายหรือจิตใจอย่างต่อเนื่อง อย่าลังเลที่จะขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต เพราะในท้ายที่สุด “ งานสามารถหาคนแทนได้ แต่สุขภาพจิตและร่างกายของคุณไม่มีสิ่งใดมาแทนได้”
