Omicron (B.1.1.529) เชื้อกลายพันธุ์ที่น่ากังวล Variant Of Concern (VOC) ซึ่งมีรายงานพบผู้ติดเชื้อสายพันธุ์นี้ครั้งแรกในทวีปแอฟริกา ปัจจุบันพบการระบาดของไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนในหลายภูมิภาคของโลก รวมทั้งพบผู้ติดเชื้อสายพันธุ์โอมิครอนในประเทศไทยแล้ว โดยไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนนี้ มีการกลายพันธุ์บริเวณโปรตีนหนาม (spike protein) มากถึง 37 ตำแหน่ง และพบว่าการกลายพันธุ์ในบางตำแหน่งเป็นการกลายพันธุ์ที่ทำให้ยาที่ใช้ในการรักษาในปัจจุบันมีประสิทธิภาพที่ลดลง
จากผลการศึกษาระยะเริ่มต้นแสดงให้เห็นว่า ยารักษาโควิดที่ชื่อว่า โซโทรวิแมบ: Sotrovimab (VIR-7831) มีประสิทธิภาพในการต้านโควิด-19 ทุกสายพันธุ์ รวมถึงไวรัสกลายพันธุ์อย่างโอไมครอน โดยมีประสิทธิภาพต่อต้านการกลายพันธุ์ทั้งหมดในโปรตีนหนามของสายพันธุ์โอมิครอน แม้จะมีการกลายพันธุ์ถึง 37 จุดในโปรตีนหนามก็ตาม โดยการยับยั้งได้มุ่งไปที่โปรตีนหนาม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของไวรัสที่จับกับเซลล์ในร่างกายของเรา และมีการเปลี่ยนแปลงค่าความไวของยาน้อยอยู่ในระดับที่ยาสามารถยับยั้งไวรัสสายพันธุ์ Omicron (IC50) เท่ากับ 2.7 เท่าของสายพันธุ์ปกติ ข้อมูลไวรัสจำลองเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า Sotrovimab (VIR-7831) ยังคงออกฤทธิ์ทำลายไวรัสในการกลายพันธุ์ของ Omicron ในแต่ละตำแหน่งที่ได้ทำการทดสอบแล้วทั้งหมด
การทดลองยังเปรียบเทียบการทำลายฤทธิ์ของไวรัสด้วย Sotrovimab (VIR-7831) ระหว่าง สายพันธุ์ดั้งเดิมกับไวรัสสายพันธุ์ Omicron พบว่าความเข้มข้นของ Sotrovimab ที่ใช้ทำลาย Omicron ใกล้เคียงกับสายพันธุ์ดั้งเดิม นอกเหนือจากนี้ ยังพบข้อมูลจากหน่วยงานต่างๆที่อ้างอิงและเผยแพร่ผลการทดสอบความไวของ Sotrovimab กับ Omicron ที่สนับสนุนว่า Sotrovimab มีความไวต่อสายพันธุ์ดังกล่าว ในขณะที่โมโนโคลนอล แอนติบอดี้อื่นๆมีความไวที่ลดลง
สำหรับ Sotrovimab ได้รับการพัฒนาขึ้นโดยคำนึงถึงการกลายพันธุ์ของไวรัส จากการทดลองพบว่า Sotrovimab ช่วยลดความเสี่ยงในการป่วยหนักและการเสียชีวิตในผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีอาการเล็กน้อยถึงปานกลางได้ร้อยละ 79 และมีประสิทธิภาพในการยับยั้งไม่ให้เชื้อแพร่สู่ปอดด้วย หน่วยงานกำกับดูแลผลิตภัณฑ์ยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพ (MHRA) ของสหราชอาณาจักรได้อนุมัติ Sotrovimab ภายใต้ชื่อทางการค้าว่า Xevudy เพื่อใช้สำหรับผู้ป่วยโควิด-19 ขั้นเล็กน้อยถึงปานกลาง และผู้ที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดอาการป่วยรุนแรง โดยมีเป้าหมายเพื่อยับยั้งการเกิดอาการป่วยรุนแรงของผู้ที่ได้รับเชื้อโควิด-19 และมีประโยชน์สำหรับผู้ที่มีภูมิคุ้มกันไม่แข็งแรง ซึ่ง MHRA แนะนำให้ใช้ยาดังกล่าวโดยเร็วที่สุดหรือภายใน 5 วันหลังเริ่มมีอาการป่วย