พระราชกรณียกิจสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ๑๒ สิงหาคม ๒๕๖๘
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ขอเผยแพร่พระราชกรณียกิจ

“ผู้ทรงเชิดชูศิลปวัฒนธรรมไทย”
คือหัตถาสร้างงานศิลป์ ผสานแผ่นดินไทย ให้รุ่งเรือง”

เพื่อร่วมเฉลิมพระเกียรติและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ

กำเนิดไทยก็ยาวนานนับพันปี สิ่งดีดีก็มากมายไทยมีอยู่
รอแต่คนค้นหามาเชิดชู ให้โลกรู้ให้โลกเห็นความเป็นไทย

สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
สมเด็จแม่ผู้ทรงเป็นดั่งดวงใจของปวงพสกนิกร พระผู้ทรงอุทิศพระองค์อย่างมิรู้เหน็ดเหนื่อย
เพื่อความผาสุกของแผ่นดินไทยตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา

ในวาระอันเป็นมหามงคล ๑๒ สิงหาคม ๒๕๖๘
ข้าพระพุทธเจ้า ขอน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายพระพรชัยมงคล
ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน ทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรง
ทรงเป็นร่มโพธิ์ร่มไทร เป็นแรงบันดาลใจ และเป็นแสงนำทางแก่แผ่นดินไทยตลอดกาลนาน

ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ
ข้าพระพุทธเจ้า คณะผู้บริหาร คณาจารย์ บุคลากรและนักศึกษา
ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์

ขอเชิญชวนประชาชนร่วมลงนามถวายพระพรชัยมงคล สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๖๘ ผ่านระบบออนไลน์ ที่เว็บไซต์หน่วยราชการในพระองค์ www.royaloffice.th ระหว่างวันที่ ๙ – ๑๕ สิงหาคม ๒๕๖๘

หนึ่งในพระราชกรณียกิจอันสำคัญสูงสุด คือ
การทรงฟื้นฟูและอนุรักษ์ “ผ้าไทย” ให้กลับมามีชีวิต
จากผืนผ้าธรรมดาในครัวเรือนของชาวบ้าน สู่เวทีแฟชั่นระดับโลก
ทรงพระราชทานแนวทางพัฒนาลวดลาย เทคนิคการทอ สีสัน และการออกแบบ
จนเกิดเป็น “ศิลปะแห่งชีวิต” ที่สะท้อนจิตวิญญาณของความเป็นไทยได้อย่างงดงามวิจิตร

อีกหนึ่งพระราชกรณียกิจสำคัญ พระองค์ยังทรงรังสรรค์ “ชุดไทยพระราชนิยม”
ในคราวที่จะเสด็จตามพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ไปทรงเจริญสัมพันธไมตรี ณ ทวีปยุโรปและสหรัฐอเมริกา เมื่อพุทธศักราช ๒๕๐๓
ทรงมีพระราชดำริว่า แม้ประเทศไทยจะมีวัฒนธรรมการแต่งกายอันงดงามเป็นเอกลักษณ์
แต่สตรีไทยยังไม่มีชุดประจำชาติที่เป็นแบบแผนสากล จึงมีพระราชเสาวนีย์ให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบช่วยปรับปรุงชุดไทยเดิมให้ร่วมสมัย สง่างาม และเหมาะสมกับกาลเทศะ จนเกิดเป็น “ชุดไทยพระราชนิยม” อันทรงคุณค่า ทั้ง ๘ แบบ

นอกจากนี้ พระองค์ยังเป็นผู้ฟื้นคืนจิตวิญญาณแห่งชาติ คือ
การฟื้นฟู “โขนพระราชทาน” อันเป็นมหรสพหลวงที่เลอค่ายิ่ง
ด้วยทรงเล็งเห็นว่า โขนเป็นศิลปะการแสดงชั้นสูงที่รวมไว้ซึ่งนาฏศิลป์ ดนตรี วรรณคดี หัตถศิลป์
และจิตรกรรมไทยไว้อย่างงดงาม พระองค์จึงทรงพระกรุณาโปรดให้จัดการแสดง “โขนพระราชทาน” ภายใต้การดูแลของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ เพื่อให้ประชาชนไทยได้มีโอกาสเข้าถึงศิลปะอันวิจิตรของชาติ และเพื่อธำรงรักษาองค์ความรู้ ตลอดจนถ่ายทอดให้เยาวชนรุ่นหลังได้ภาคภูมิต่อไปอย่างยั่งยืน

ชุดไทยพระราชนิยม – ชุดประจำชาติไทย เครื่องแต่งกาย ความภูมิใจในความเป็นไทย

สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงมีพระราชนิยม เรื่องการใช้ผ้าไทยมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ เมื่อพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณา ฯ ประกาศหมั้น ครั้งนั้น ได้มีนักหนังสือพิมพ์ชาวต่างประเทศ ขอพระราชทานสัมภาษณ์ ซึ่งพระองค์ได้ให้สัมภาษณ์ว่า จะสนับสนุนและส่งเสริมการแต่งกายที่เป็น แบบไทย เมื่อพระองค์ยังเป็นพระคู่หมั้น ได้ใช้ผ้าไทยและซิ่นไทย ส่วนชุดในพระราชพิธีอภิเษกสมรส ได้ใช้ชุดที่ตัดเย็บด้วยผ้าไทย เมื่อพระราชพิธีได้ผ่านไปแล้ว พระองค์ได้ทรงปฏิบัติตามพระราชปณิธานดังกล่าวต่อมา และได้มีเครื่องแต่งกายแบบไทย ตามพระราชนิยมขึ้น ซึ่งกลายเป็นเอกลักษณ์ทางการแต่งกายประจำชาติมาจนทุกวันนี้

เมื่อครั้งที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง โดยเสด็จพระราชดำเนินพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ไปทรงเยือนประเทศสหรัฐอเมริกาและยุโรปอย่างเป็นทางการครั้งแรก เมื่อพุทธศักราช ๒๕๐๓ เพื่อทรงเจริญทางพระราชไมตรี สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง มีพระราชดำริว่า สตรีไทยในขณะนั้นไม่มีเครื่องแต่งกายที่เป็นชุดไทยหรือชุดประจำชาติเหมือนสตรีชาติอื่นๆ เช่น ส่าหรีของสตรีอินเดีย หรือกิโมโนของสตรีญี่ปุ่น ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ของชาติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง จึงทรงสอบถามผู้รู้และมีประสบการณ์ รวมทั้งการศึกษาจากประวัติศาสตร์อย่างละเอียดถี่ถ้วน และมีพระราชเสาวนีย์ให้ผู้เชี่ยวชาญค้นคว้าประวัติศาสตร์ ธรรมเนียมการแต่งกายของสตรีไทยในราชสำนักโบราณ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ออกแบบฉลองพระองค์ชุดไทยแบบต่างๆ โดยนำรูปแบบการแต่งกายของสตรีไทยในอดีตมาผสมผสานกับวิธีการตัดเย็บปัจจุบันได้อย่างลงตัว เพื่อให้ง่ายต่อการสวมใส่และเหมาะสมกับยุคสมัย แต่คงความเป็นไทยได้อย่างกลมกลืนและสง่างาม สร้างความประทับใจให้แก่ผู้ที่ได้พบเห็น ซึ่งพระองค์ทรงเจริญรอยตาม สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เรื่องการใช้ฉลองพระองค์ จนเกิดเป็น “ชุดไทยพระราชนิยม” อันทรงคุณค่า ทั้ง ๘ แบบ ได้แก่:

๑. ชุดไทยเรือนต้น
ตั้งชื่อตามเรือนต้นในพระที่นั่งอัมพรสถาน นิยมใส่ในงานลำลองที่ไม่เป็นพิธีการ เช่น งานเลี้ยงสังสรรค์แบบกันเอง หรืองานบำเพ็ญกุศลทางศาสนา เป็นเสื้อคอกลมตื้นไม่มีขอบ แขนกระบอก ๓ ส่วน ชายเสื้อเสมอตัว ตัวเสื้อเข้ารูปพอดีตัว ด้านหน้าผ่าตลอด ติดกระดุม ๕ เม็ด และแยกกับตัวซิ่น ส่วนผ้าซิ่นจะเป็นผ้าฝ้ายหรือผ้าไหม ที่มีลวดลายตามขวางหรือตามยาว อาจใช้ผ้าเกลี้ยง (ไม่มีลวดลาย) แบบมีเชิง (มีลวดลายที่ชายผ้า) หรือนุ่งแบบป้ายข้าง ความยาวผ้าซิ่นกรอมข้อเท้า

๒. ชุดไทยจิตรลดา
ตั้งชื่อตามพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน นิยมใส่ในโอกาสที่เป็นทางการ เช่น ต้อนรับแขกเมืองหรือพิธีสวนสนาม ตัวเสื้อเป็นเสื้อคอกลมมีขอบตั้งน้อยๆ แขนกระบอกความยาวจดข้อมือ ผ่าหน้าติดกระดุม ๕ เม็ด ตัวเสื้อเข้ารูปและแยกกับผ้าซิ่น ผ้าซิ่นเป็นผ้าไหมมีลายขวางหรือไหมเกลี้ยง หรือมีเชิง นุ่งแบบป้ายข้างความยาวกรอมข้อเท้า

๓. ชุดไทยอมรินทร์
ตั้งชื่อตามพระที่นั่งอัมรินทร์วินิจฉัย ใช้ผ้าไหมยกดอกที่มีทองแกมหรือยกทองทั้งตัว นิยมใส่ในโอกาสที่เป็นทางการ เช่น งานวันเฉลิมพระชนมพรรษา ตัวเสื้อเป็นคอกลมมีขอบตั้งแขนกระบอกยาวจดข้อมือผ่านหน้าติดกระดุม ๕ เม็ด ตัวเสื้อเข้ารูป นิยมใช้ผ้าพื้นสีอ่อน ส่วนผ้าซิ่นเป็นผ้าไหมดิ้นเงิน ดิ้นทอง มีเชิง นุ่งแบบป้ายข้าง ความยาวกรอมข้อเท้า

๔. ชุดไทยบรมพิมาน
ตั้งชื่อตามพระที่นั่งบรมพิมาน ใช้ผ้ายกไหม ยกทองมีเชิง หรือยกทองทั้งตัว นิยมใส่ในโอกาสที่เป็นทางการระดับสูง ในเวลากลางวันหรือค่ำ เช่น งานราตรีสโมสร เป็นเสื้อคอกลม มีขอบตั้ง แขนกระบอกยาวจดข้อมือ ผ่าหลังติดซิปตัวเสื้อเข้ารูป นำชายเสื้อไว้ในผ้าซิ่น ส่วนผ้าซิ่นจะเป็นผ้าไหมดิ้นเงิน หรือดิ้นทอง มีเชิง นุ่งแบบจีบหน้านาง ความยาวกรอมข้อเท้า

๕. ชุดไทยดุสิต
ตั้งชื่อตามพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ใช้ผ้ายกไหม หรือยกทอง อย่าง แบบไทยอัมรินทร์ ไทยบรมพิมาน และไทยจักรี นิยมใส่ในงานพิธีตอนกลางคืน ใช้แทนชุดราตรีแบบตะวันตก เช่น งานราตรีสโมสร เป็นเสื้อคอกลมกว้างไม่มีแขน คอด้านหน้าและด้านหลังคว้านกว้างผ่าหลัง ปักลวดลายด้วยดิ้นเงินดิ้นทอง มุก ลูกปัด หรือเลื่อม อย่างสวยงาม ตัวเสื้อกับซิ่นเย็บติดกันหรือแยกกันก็ได้ ส่วนผ้าซิ่นจะเป็นไหมสีเรียบ หรือผ้ายกดอกสีอ่อนๆ นุ่งแบบจีบหน้านาง ความยาวกรอมข้อเท้า คาดเข็มขัดทับขอบซิ่น

๖. ชุดไทยจักรี
ตั้งชื่อตามพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ใช้ผ้ายกมีเชิง หรือยกทั้งตัว นิยมใส่ในพิธีการสำคัญตอนค่ำ เช่น งานเลี้ยงรับรองแขกเมือง ปัจจุบันคนนิยมนำมาเป็นชุดเจ้าสาว ในงานเลี้ยงฉลองสมรส เป็นเสื้อเปิดไหล่ข้างหนึ่ง ใช้สไบห่มแบบเฉียง สไบทับผ้าซิ่นจะเย็บติดกันหรือแยกกันก็ได้ ชายสไบคลุมไหล่และทิ้งชาย ผ้าซิ่นเป็นผ้าไหมดิ้นเงินหรือดิ้นทอง นุ่งแบบจีบหน้านาง ยาวกรอมข้อเท้า

๗. ชุดไทยศิวาลัย
ตั้งชื่อตามพระที่นั่งศิวาลัย ใช้ซิ่นไหมหรือยกทอง นิยมใส่ในพิธีการที่มีหมายกำหนดการ ใช้ได้ทั้งกลางวันและกลางคืน เป็นเสื้อคอกลมมีขอบตั้งแขนกระบอกความยาวจดข้อมือ ผ่าหลังติดซิป ห่มสไบกรองทองทับเสื้ออีกทีหนึ่ง ชายสไบทิ้งไปด้านหลัง ให้ความยาวจดชายผ้าซิ่น ผ้าซิ่นเป็นใหม่ยกดิ้นทอง นุ่งแบบจีบหน้านาง ความยาวกรอมข้อเท้า

๘. ชุดไทยจักรพรรดิ
ตั้งชื่อตามพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน ใช้ซิ่นไหม หรือยกทอง สวมใส่ในงานพิธีอย่างเป็นทางการตอนค่ำ เช่น งานพิธีรับรองพระมหากษัตริย์ต่างประเทศ จะเป็นสไบห่ม ๒ ชั้น ชั้นแรกเป็นสไบทึบ ชั้นที่ ๒ เป็นสไบปักดิ้นทอง ทิ้งชายสไบไว้ด้านหลัง ความยาวถึงปลายผ้าซิ่น ผ้าซิ่นเป็นผ้าไหมนุ่งแบบจีบหน้านาง ความยาวกรอมข้อเท้า คาดเข็มขัดทับขอบซิ่น

ชุดไทยประจำชาติได้เป็นที่นิยมในหมู่สตรีไทยและสังคมไทยทั่วไป ทั้งยังได้เผยแพร่ชื่อเสียงความงดงามด้วยศิลปะทั้งปวงไปยังนานาประเทศ นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณแก่บรรดาสตรีไทย ที่ได้พระราชทานแนวพระราชนิยมเป็นแบบแผนการแต่งกายประจำชาติสำหรับสตรีขึ้น เป็นการส่งเสริมเชิดชูศิลปวัฒนธรรมไทยตามลำดับยุคสมัย ที่จะต้องปรากฏต่อไปเป็นประวัติศาสตร์ของชาติสืบชั่วกาลนาน

โขนพระราชทาน
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงมีพระราชหฤทัยห่วงใยต่อศิลปะการแสดงโขนที่นับวันประชาชนและเยาวชนไม่ได้ให้ความสนใจเท่าที่ควร เนื่องจากยุคสมัยเปลี่ยนไปตามสังคมโลก จึงทรงมีพระราชเสาวนีย์ในการอนุรักษ์และการพัฒนาการแสดงโขน ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๔๖ โดยทรงให้ศึกษาการแต่งหน้าโขนให้มีความงดงามเป็นเอกลักษณ์ จัดสร้างเครื่องแต่งกายโขนให้ประณีตงดงามตามแบบโบราณ และพัฒนาการแสดงโขนให้ทันสมัย เหมาะสมกับสังคมยุคใหม่
โขนพระราชทานเริ่มขึ้นในปี พ.ศ. ๒๕๕๐ เป็นการแสดงเรื่องรามเกียรติ์ตอนพรหมาศ เป็นปฐมทัศน์ เนื่องในโอกาสมหามงคลพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงเจริญพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงเจริญพระชนมพรรษา ๗๕ พรรษา ระหว่างวันที่ ๒๔ – ๒๕ ธันวาคม ที่จัดการแสดงขึ้น ณ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย มีผู้คนจำนวนมากสนใจชมโขนกันอย่างเนือง จนเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย ในชื่อ “โขนมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ” และจัดแสดงต่อเนื่องจนถึงปีล่าสุด พ.ศ. ๒๕๖๘ ตอนสัตยาพาลี มีกำหนดจัดแสดงในระหว่างวันที่ ๖ พฤศจิกายน – วันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๖๘ ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย
พิพิธภัณฑ์ศิลป์แผ่นดิน
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงตั้งพระราชหฤทัยให้มีพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมผลงานตั้งแต่เริ่มทำในระยะแรก ๆ จนถึงผลงานประณีตศิลป์ชิ้นเอก (Masterpiece) ที่ช่างสถาบันสิริกิติ์รังสรรค์อย่างพิถีพิถัน ด้วยสองมือลูกหลานชาวนาชาวไร่ผู้ยากจน ไม่มีแบบ ไม่มีพิมพ์ ไม่มีหุ่น ผลงานบางชิ้นใช้เทคนิคที่มีรากฐานจากศิลปะไทยโบราณตั้งแต่สมัยอยุธยา และหลายชิ้นถูกสร้างสรรค์โดยใช้เทคนิคที่คิดค้นขึ้นเป็นครั้งแรกในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร

มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ
ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
ย้อนกลับไปกว่าเจ็ดสิบปี ในคราวที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้โดยเสด็จพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ไปทรงเยี่ยมราษฎรในถิ่นทุรกันดารทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ ได้ทอดพระเนตรเห็นราษฎรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมและมีฐานะยากจน เนื่องจากจำนวนผลผลิตทางการเกษตรขึ้นอยู่กับปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ เช่น ลม ฟ้า อากาศ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มีพระราชกระแสรับสั่งว่า การนำสิ่งของไปพระราชทานแก่ราษฎรเช่นนี้ ไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ถูกต้อง เพราะจะทำให้ราษฎรรอรับแต่ความช่วยเหลือ จึงมีพระราชดำริที่จะแก้ไขปัญหาความยากจนของราษฎรให้สามารถช่วยเหลือตนเองได้อย่างยั่งยืน พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงมุ่งพัฒนาแหล่งน้ำและส่งเสริมองค์ความรู้ทางการเกษตร ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการประกอบอาชีพหลัก ดังที่ได้พระราชทานแนวพระราชดำริไว้นับพันโครงการ
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงรับหน้าที่ดูแลและพัฒนา เด็ก สตรี คนชรา พร้อมส่งเสริมอาชีพให้มีรายได้เพิ่ม ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ โดยทรงนำงานหัตถกรรมพื้นบ้าน เช่น งานจักสาน งานทอผ้า ซึ่งเป็นงานฝีมือที่ราษฎรทำใช้เองในท้องถิ่นมาพัฒนาจนกลายเป็นอาชีพเสริม สร้างรายได้จุนเจือครอบครัวอย่างยั่งยืน นั่นคือที่มาของ “มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ” ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้จัดตั้ง เมื่อวันที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๑๙ โดยมีวัตถุประสงค์สำคัญ ๒ ประการ คือ ช่วยเหลือเรื่องปากท้องของราษฎรให้มีอาชีพเสริมเพิ่มรายได้ และอนุรักษ์งานศิลปวัฒนธรรมเป็นลำดับรองลงมา นับเป็นหลักการทรงงานเกี่ยวกับศิลปาชีพที่สำคัญยิ่ง

สถาบันสิริกิติ์
ปีพุทธศักราช ๒๕๒๑ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้เปิดโรงฝึกศิลปาชีพ ในสวนจิตรลดา ปัจจุบัน คือ “สถาบันสิริกิติ์” ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการฝึกอบรมราษฎรที่ทรงรับมาจากครอบครัว ชาวนา ชาวไร่ ผู้ยากจน ไม่มีที่ทำกิน เมื่อครั้งเสด็จ ฯ ไปทรงเยี่ยมราษฎร และพระราชทานโอกาสให้มาฝึกอบรมงานศิลปาชีพแขนงต่าง ๆ ทรงจัดหาครูและชาวบ้านที่มีฝีมือดีมาถ่ายทอดให้ชนรุ่นหลังได้ฝึกฝนงานหัตถศิลป์ จากผู้ที่ ไม่มีพื้นฐานงานศิลปะ เริ่มต้นจาก “ศูนย์” ใช้ความวิริยะอุตสาหะพัฒนาทักษะจนกลายเป็น “ช่างสถาบันสิริกิติ์” ล้วนเกิดจากพระวิสัยทัศน์และการเอาพระราชหฤทัยใส่ในการ “สร้างคน” ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เพราะช่างสถาบันสิริกิติ์แต่ละคน หาใช่ช่างฝีมือหรือศิลปินผู้เจนจัดงานศิลปะ แต่คือลูกหลานชาวนาชาวไร่ที่มีฐานะยากจน ดังพระราชดำรัสที่พระราชทานแก่คณะบุคคลต่าง ๆ ที่เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา เมื่อวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๐

“…คนเหล่านี้ เป็นลูกชาวไร่ ชาวนาที่ยากจนที่สุด และข้าพเจ้าเลือกมาเป็นพิเศษ เลือกจากความยากจน ครอบครัวไหนยากจนที่สุด แล้วมีลูกมากที่สุด จะเลี้ยงตัวเองไม่ได้ ข้าพเจ้าจึงเลือกมา แล้วมาอยู่ในพระบรมมหาราชวัง ที่ตึกเก่า ๆ ที่ดั้งเดิมเป็นที่อยู่ของเจ้านายต่าง ๆ มากมายก่ายกอง ข้าพเจ้าให้เขาอยู่ที่นั่น แล้วก็มาทำการฝึกฝนที่จิตรลดา…”
สถาบันสิริกิติ์มุ่งมั่นที่จะพัฒนาช่างฝีมือ จากงานศิลปะขั้นพื้นฐานเป็นงานศิลปะชั้นสูง โดยได้ประยุกต์และพัฒนางานศิลปาชีพในแผนกต่าง ๆ ซึ่งทำให้เกิดผลงานชิ้นสำคัญที่ต้องอาศัยความงดงามของศิลปะแต่ละแผนกเข้าด้วยกัน ตลอดจนอนุรักษ์และส่งเสริมงานศิลปหัตถกรรมงานช่างศิลป์โบราณที่เกือบจะสูญหายให้กลับมาอีกครั้ง
นอกจากการสร้างคนให้เป็นช่างฝีมือแล้วยังเป็นการรักษาศิลปะไทยโบราณ พัฒนาองค์ความรู้และเทคนิคทางศิลปะขึ้นมาใหม่ เช่น เทคนิคการตกแต่งปีกแมลงทับ ซึ่งเป็นการต่อยอดความหลากหลายของงานศิลปะ ผลงานหลายชิ้นเคยนำไปจัดแสดงในต่างประเทศ กระทั่งบนโต๊ะพระราชทานเลี้ยงพระกระยาหารค่ำในโอกาสที่พระราชอาคันตุกะมาเยือนประเทศไทย ผลงานเหล่านี้เป็นดั่งทูตวัฒนธรรมที่บอกชาวโลกว่า ประเทศไทยหาใช่ประเทศที่เกิดใหม่ แต่คนไทยมีศิลปวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์อันยาวนาน ที่สำคัญ นี่ไม่ใช่ผลงานจากศิลปินเอก แต่ด้วย “พลังแห่งรัก” ที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทย พระราชทานโอกาสให้ชาวนาชาวไร่ในถิ่นทุรกันดารมาสร้างงานศิลปะ มาจากสองมือคู่เดียวกันที่ผละจอบเสียมมาจับสิ่ว ทุ่มเวลาและแรงกายจนสามารถสร้างสรรค์ประณีตศิลป์ที่ทรงคุณค่า นั่นคือเครื่องยืนยันศักยภาพของ พสกนิกรชาวไทยและเป็นเครื่องเตือนใจว่า ไม่มีการสร้างสรรค์สิ่งใดที่ยิ่งใหญ่เท่ากับการ “สร้างคน”