โรคปอดบวม

ปอดบวมคืออะไร และมีความสำคัญอย่างไร

โรคปอดบวม หรือ โรคปอดอักเสบจากการติดเชื้อ หรือโรคนิวโมเนีย (pneumonia) เป็นโรคติดเชื้อที่ปอด ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัส เช่น ไวรัสไข้หวัดใหญ่ (Influenza viruses), Respiratory syncytial virus (RSV), และ SARS-CoV-2 ที่ทำให้เกิด COVID-19 และเชื้อแบคทีเรีย เช่น เชื้อ “สเตรปโตคอคคัส นิวโมเนียอี” (Streptococcus pneumoniae) หรือเรียก นิวโมคอคคัส (Pneumococcus) และเชื้อไมโคพลาสมา (Mycoplasma pneumoniae) นอกจากนี้ยังเกิดจากการติดเชื้อโรคชนิดอื่นได้ ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆเช่น การสัมผัสเชื้อ ความชุกของเชื้อในแต่ละสถานที่ และโรคประจำตัวหรือสภาพร่างกายของผู้ป่วย

สถิติจากทั่วโลกในปี 2019 พบว่ามีเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี จำนวนมากกว่า 740,000 เสียชีวิตจากโรคปอดบวม ซึ่งสูงกว่าจำนวนผู้ที่เสียชีวิตจากโรคติดเชื้ออื่นๆ เช่น HIV  มาลาเรีย หรือวัณโรค  นอกจากนี้ในผู้สูงอายุจะพบว่ามีโรคปอดบวมได้บ่อยเช่นกัน โดยมักจะมีอาการรุนแรงและแย่ลงอย่างรวดเร็ว ตลอดจนมีอัตราการเสียชีวิตสูง

โรคปอดบวมเกิดขึ้นได้อย่างไร

โรคปอดบวมเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ โดยมักจะเกิดจากการหายใจเอาเชื้อที่ปนอยู่ในอากาศเข้าสู่ปอดโดยตรง หรือจากการสำลัก เช่นสำลักน้ำลาย อาหาร หรือสารคัดหลั่งในทางเดินอาหาร ลงสู่ปอด ทำให้เกิดการอักเสบและติดเชื้อตามมา นอกจากนี้ยังสามารถเกิดจากการลุกลามของเชื้อที่อยู่ในอวัยวะใกล้กับปอด หรือติดเชื้อทางกระแสเลือด ซึ่งมักเกิดกับผู้ป่วยที่ติดเชื้อที่อวัยวะอื่นมาก่อน แล้วเชื้อนั้นกระจายไปตามกระแสเลือดแล้วมาติดเชื้อที่ปอดในที่สุด

โรคปอดบวมมีอาการอย่างไร

โดยทั่วไป ผู้ป่วยโรคปอดบวมจะมีอาการไอ หอบเหนื่อย หายใจเร็ว เจ็บหน้าอก โดยจะมีอาการอื่นร่วมด้วยได้ เช่น ไข้ เหงื่อออก  ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ  ปอดบวมจากการติดเชื้อแบคทีเรียมักจะมีอาการเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วร่วมกับไอมีเสมหะปริมาณมาก เสมหะสีเขียวหรือสีคล้ายสนิม มีไข้ และเจ็บหน้าอก ส่วนอาการจากการติดเชื้อไวรัสหรือไมโคพลาสมามักจะเกิดช้ากว่า โดยมักจะเกิดอาการ 2-3 วันหลังจากมีอาการคล้ายเป็นหวัด ในผู้ป่วยสูงอายุอาจจะมีอาการแสดงไม่ชัดเจน และอาจมาด้วยอาการอื่นๆ เช่น รู้สึกไม่สบาย เหนื่อยเพลีย  มึนศีรษะ หลงลืม ในรายที่มีอาการรุนแรงมากอาจจะมีภาวะขาดออกซิเจน ผู้ป่วยอาจจะมีอาการซึมลง หรือหมดสติในที่สุด

ใครคือผู้มีความเสี่ยงสูงในการเกิดโรคปอดบวม

โรคปอดบวมสามารถทำให้เกิดอาการน้อยจนถึงมากได้ในบุคคลทุกกลุ่มอายุ แต่ผู้ที่มีความเสี่ยงสูงในการเกิดโรคปอดบวม ได้แก่ เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ผู้สูงอายุตั้งแต่ 65 ปีขี้นไป ผู้ที่สูบบุหรี่ ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว เช่น ไตวายเรื้อรัง เบาหวาน พิษสุราเรื้อรัง ตับแข็ง โรคหัวใจ โรคปอดเรื้อรัง และผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือได้รับยาที่กดภูมิคุ้มกันในร่างกาย

วินิจฉัยโรคปอดบวมได้อย่างไร

ในการวินิจฉัยโรคปอดบวม แพทย์มักจะเริ่มต้นด้วยการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และส่งตรวจเพิ่มเติมเพื่อช่วยในการวินิจฉัย เช่น เอกซ์เรย์ปอด และอาจจะตรวจเลือด เสมหะ และปัสสาวะ เพื่อหาเชื้อที่เป็นสาเหตุของปอดบวม

โรคปอดบวมรักษาอย่างไร

การรักษาโรคปอดบวมขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการและชนิดของเชื้อที่เป็นสาเหตุ เช่นให้ยาปฏิชีวนะถ้าเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย  หรืออาจจะให้ยาต้านไวรัส ในปวดบวมที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสบางชนิดที่มียารักษาเฉพาะ  นอกจากนี้ยังมีการรักษาตามอาการ เช่น ให้ยาลดไข้ ยาขับเสมหะ ออกซิเจน หรือยาขยายหลอดลมในรายที่มีภาวะหลอดลมหดตัวร่วมด้วย รวมถึงการบำบัดรักษาทางระบบหายใจที่เหมาะสม เช่นการเคาะปอด การดูดเสมหะ การฝึกไอให้มีประสิทธิภาพ

โรคปอดบวมป้องกันได้หรือไม่ อย่างไร

ปัจจุบันมีวัคซีนหลายชนิดที่สามารถป้องกันการติดเชื้อที่ทำให้เกิดปอดบวมได้  เช่นวัคซีน  COVID-19, Haemophilus influenzae type b (Hib), ไข้หวัดใหญ่ (Influenza, flu), หัด (Measles), ไอกรน (Pertussis, whooping cough), นิวโมคอคคัส(Pneumococcus), และอีสุกอีใส (Varicella, chickenpox)  โดยวัคซีนเหล่านี้ปลอดภัย มีผลข้างเคียงเล็กน้อยและหายภายใจเวลา 2-3 วัน

นอกเหนือจากคำแนะนำให้ฉีดวัคซีนดังกล่าวในเด็กแล้ว ยังมีคำแนะนำให้ฉีดวัคซีนในผู้ใหญ่เพื่อป้องกันโรคปอดบวม ได้แก่

– ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่เป็นประจำทุกปี เพื่อช่วยลดการเกิดปอดบวมจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ และปอดบวมจากเชื้อแบคทีเรียที่สามารถเกิดตามหลังการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ได้ โดยเฉพาะในผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง หญิงตั้งครรภ์ และผู้สูงอายุ

– ฉีดวัคซีนโรคไอกรน หากยังไม่เคยได้รับมาก่อน 

– ฉีดวัคซีน COVID-19

– ฉีดวัคซีนนิวโมคอคคัสในผู้สูงอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้น และผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง และผู้ป่วยที่มีโรคเรื้อรัง

นอกจากนี้ยังมีมาตรการป้องกันอื่นๆที่ช่วยป้องกันการติดเชื้อในทางเดินหายใจ เช่น หลีกเลี่ยงการเข้าใกล้ผู้ป่วย การล้างมือเป็นประจำ ทำความสะอาดสิ่งของที่สัมผัสบ่อย ปิดปากและจมูกเวลาไอหรือจาม หยุดสูบบุหรี่ และเลื่ยงควันบุหรี่  ทำความสะอาดช่องปากและระมัดระวังเรื่องการสำลักขณะทานอาหาร โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ ตลอดจนรักษาโรคประจำตัว เช่นโรคหอบหืด เบาหวาน หัวใจ ให้ดี

เอกสารอ้างอิง

https://www.cdc.gov/pneumonia

https://www.cdc.gov/vaccines/adults/rec-vac/index.html