โรคเกาต์ (Gout)

  • โรคเกาต์คืออะไร

โรคเกาต์ คือ โรคที่เกิดจากภาวะกรดยูริกในเลือดสูงร่วมกับมีอาการที่เกิดจากการตกผลึกของเกลือยูเรตในเนื้อเยื่อต่างๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะข้อหรือเนื้อเยื่อรอบๆ ข้อ ทำให้เกิดอาการข้ออักเสบแบบเฉียบพลัน เป็นๆ หายๆ  ในระยะเรื้อรังจะพบก้อนโทฟายที่เกิดจากการสะสมของผลึกเกลือยูเรตบริเวณผิวหนังรอบๆ ข้อ และขอบใบหูได้ นอกจากนี้ผลึกเกลือยูเรตยังอาจสะสมในเนื้อเยื่อไตและทางเดินปัสสาวะ ส่งผลให้การทำงานของไตบกพร่องและเกิดนิ่วในไตร่วมด้วย

  • กรดยูริกคืออะไร

กรดยูริก คือสารที่เป็นผลิตผลปลายทางที่เกิดจากการสลายตัวของสารพิวรีน (purine) โดยสารพิวรีนได้มาจากการที่ร่างกายสร้างขึ้นเอง บางส่วนมาจากการสลายตัวของเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย นอกจากนี้ยังได้มาจากอาหารที่รับประทานเข้าไปในแต่ละวันด้วย โดยทั่วไประดับกรดยูริกในเลือดของคนปกติจะไม่คงที่ กล่าวคือจะมีการเปลี่ยนแปลงไปตามอายุและเพศ สำหรับผู้ใหญ่ ระดับกรดยูริกในเลือดจะไม่เกิน 6 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรในผู้หญิง และ 7 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรในผู้ชาย

  • อาการ
  • ปวด บวม แดง ร้อน ที่บริเวณข้อและเนื้อเยื่อรอบข้อแบบเฉียบพลัน
  • ตำแหน่งข้อที่พบบ่อยสุด คือ ข้อโคนนิ้วหัวแม่เท้าตำแหน่งอื่นๆ ที่พบบ่อยรองลงมาได้แก่ข้อหลังเท้า ข้อเท้าข้อเข่า ข้อมือ ข้อนิ้วมือ และข้อศอก
  • อาการปวดมักเป็นๆ หายๆ ทีละ 1 – 2 ข้อ
  • มักจะเริ่มปวดตอนกลางคืนแบบเฉียบพลัน ใช้เวลาเป็นชั่วโมงแต่มักไม่เกินวัน โดยอาการปวดจะเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ จนปวดมากสุดภายในเวลาเพียง 8 -12 ชั่วโมงส่งผลให้ไม่สามารถขยับข้อลุกเดินหรือลงน้ำหนักได้
  • การอักเสบของข้อจะดีขึ้นได้เองจนสามารถใช้ข้อได้ตามปกติภายในระยะเวลา1 – 2 สัปดาห์ ในกรณีที่การอักเสบไม่รุนแรงอาจหายเป็นปกติได้ภายใน 1 – 2 วันและเข้าสู่ระยะปลอดอาการ
  • ในระยะเรื้อรังถ้าไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง จะพบก้อนโทฟายที่ผิวหนังบริเวณรอบข้อ ใบหู หรือตำแหน่งที่มีการเสียดสีกดทับและสามารถเกิดการทำลายข้อจนข้อผิดรูปตามมาได้
  • บุคคลกลุ่มเสี่ยงที่มีโอกาสเกิดโรคเกาต์
    • เพศชาย
    • อายุ:  อายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไปในผู้ชาย และอายุมากกว่า60 ปีขึ้นไปในผู้หญิง
    • ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์โดยเฉพาะเบียร์และเหล้ากลั่น
    • ผู้ที่ชอบรับประทานอาหารจำพวกเนื้อสัตว์และอาหารทะเล
    • ผู้ที่ใช้ยาขับปัสสาวะ
    • ผู้ที่มีโรคความดันโลหิตสูง
    • ผู้ที่มีน้ำหนักเกิน
  • ปัจจัยกระตุ้น
    • การบาดเจ็บบริเวณข้อ
    • การเจ็บป่วยทั่วไป
    • การผ่าตัด
    • การอดอาหาร
    • การดื่มสุรา
    • การรับประทานอาหารหรือยาที่มีผลต่อระดับยูริกในเลือด
  • อาหารสำหรับผู้ป่วยโรคเกาต์
    • อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ เครื่องในสัตว์ เครื่องดื่มหรืออาหารที่มีน้ำตาลฟรุกโตสและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
    • อาหารที่ควรจำกัดปริมาณ ได้แก่ เนื้อแดง เช่น เนื้อวัว เนื้อแกะ อาหารทะเลน้ำผลไม้หรือเครื่องดื่มที่มีรสหวาน ของหวาน
    • อาหารที่สนับสนุนให้รับประทาน ได้แก่ นมพร่องมันเนยหรือนมไขมันต่ำและผัก

***ดังนั้นจะเห็นได้ว่า การเลือกรับประทานอาหารในผู้ป่วยโรคเกาต์ในปัจจุบัน มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมกล่าวคือ ผัก ถั่ว พืชฝักถั่ว รวมถึงเนื้อสัตว์ปีก เช่น ไก่ เป็ด สามารถรับประทานได้โดยไม่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเกาต์***

  • การรักษา
    • ช่วงที่มีข้ออักเสบ
      • พักการใช้งานของข้อ
      • งดการบีบนวดบริเวณข้อ
      • แนะนำประคบเย็นที่ข้อเพื่อลดอาการปวด
      • รับประทานยาแก้ปวดแก้อักเสบตามแพทย์สั่ง
    • ช่วงที่ไม่มีข้ออักเสบ
      • หลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นข้ออักเสบเกาต์
      • รับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างสม่ำเสมอเพื่อป้องกันข้ออักเสบกำเริบซ้ำ
  • การปฏิบัติตัว
    • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
    • ลดน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน
    • ปรับเปลี่ยนการรับประทานอาหารให้เหมาะสมกับโรคเกาต์
    • หยุดสูบบุหรี่
    • ดื่มน้ำมากๆ เพื่อป้องกันนิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะ
    • รับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างสม่ำเสมอถึงแม้จะไม่มีอาการข้ออักเสบ
    • มาตามนัดเพื่อติดตามอาการ

พญ.วิภาดา  ไกรเกรียงศรี

คลินิกโรคข้อและรูมาติสซั่ม

 แผนกบริการผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ชั้น 3