เชื้อโรค RSV (Respiratory Syncytial Virus)
เป็นเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจที่พบระบาดมากในเด็กเล็กอายุน้อยกว่า 5 ปีทั่วโลก ในประเทศไทยมักจะมีการระบาดในช่วงฤดูฝนจนถึงต้นฤดูหนาว เชื้อ RSV นี้ เมื่อเกิดการติดเชื้อจะมีโอกาสเกิดเป็นซ้ำได้ เชื้อนี้ติดต่อกันได้ง่ายในเด็กเล็กทางการไอ จาม การสัมผัสสารคัดหลั่ง เช่น น้ำมูก เสมหะ น้ำลาย ซึ่งปนเปื้อนที่โต๊ะ เก้าอี้ ลูกบิดประตู ของเล่น เป็นต้น หรือติดต่อโดยการสูดหายใจเอาละอองฝอยที่มีเชื้อเข้าสู่ร่างกาย
อาการ
เด็กจะมีอาการไอมาก มีเสมหะมาก เหนื่อยหอบ หายใจลำบาก หายใจมีเสียงวี้ดๆ อาจมีน้ำมูกหรือจามร่วมด้วย บางครั้งเหมือนมีเสมหะคั่งค้างในหลอดลมตลอด ไอติดๆ แต่ขับเสมหะไม่ออก อาจมีไข้ต่ำๆ หรือไข้สูงก็ได้
วิธีสังเกตอาการ
ระยะฟักตัว 3-6 วันหลังได้รับเชื้อ จะมีอาการคล้ายไข้หวัด จากนั้น จะออกอาการต่างๆ ดังกล่าวข้างต้น
ความรุนแรง
เด็กเล็กที่มีโรคหรือภาวะประจำตัว อาทิเช่น เด็กอายุน้อยกว่า 2 ปี เด็กคลอดก่อนกำหนด เด็กที่มีโรคปอด โรคหลอดลมอักเสบเรื้อรังหรือ โรคหลอดลมไวเกิน โรคหัวใจ โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง เมื่อโชคร้ายติดเชื้อ RSV จะมีอาการทรุดหนักกว่าเด็กทั่วไป บางครั้งการอักเสบถึงกับลงหลอดลมส่วนลึกหรือลงเนื้อปอด เกิดภาวะขาดออกซิเจน ภาวะการหายใจล้มเหลว หรืออาจถึงแก่ชีวิตได้ ถ้าไม่ได้รับการดูแลรักษาอย่างทันท่วงทีและเหมาะสม สำหรับเด็กเล็กที่เดิมมีสุขภาพแข็งแรง เด็กโต หรือผู้ใหญ่ อาการจะคล้ายไข้หวัดและจะสามารถหายได้เอง โดยทั่วไป เด็กเล็กอาจมีอาการนานถึง 1-2 สัปดาห์จึงจะดีขึ้น
วิธีการป้องกัน
แม้ว่าในวงการวิทยาศาสตร์การแพทย์ จะค้นพบเชื้อไวรัส RSV มานานกว่า 60 ปีแล้ว แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จในการคิดค้นหรือผลิตวัคซีนป้องกันการติดเชื้อนี้ได้ ดังนั้น การป้องกันก็ใช้วิธีเดียวกันกับการป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ คือ การใส่หน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ในที่ชุมชนหรือมีคนอยู่แออัด หมั่นล้างมือบ่อยๆด้วยน้ำกับสบู่ หรือเจลแอลกอฮอล์ พยายามสอนหรือฝึกเด็กเล็กไม่ให้นำนิ้วมือใส่จมูก ปาก หรือ ขยี้ตา รักษาระยะห่างจากคนที่ป่วย หลีกเลี่ยงการนำเด็กไปเล่นคลุกคลีใกล้ชิดกับกลุ่มเด็กเล็ก หรือเด็กที่ป่วย ไอ ไม่สบาย ทำความสะอาดของเล่นเด็กและของใช้เป็นประจำ ไม่ใช้ของส่วนตัวร่วมกันกับเด็กคนอื่น หลีกเลี่ยงควันบุหรี่หรือมลพิษฝุ่นพิษในอากาศ ดื่มน้ำอุ่นน้ำสะอาดเป็นประจำ
การรักษา
ยังไม่มีการใช้ยาต้านไวรัสที่จำเพาะเจาะจงอย่างแพร่หลาย จะพิจารณาใช้ยาได้ในผู้ป่วยหนักบางกรณีเท่านั้น เนื่องจากยามีผลข้างเคียงที่ค่อนข้างอันตราย โดยทั่วไป จึงเป็นการรักษาประคับประคองตามอาการ อาทิเช่น การให้ออกซิเจนทางจมูกหรือทางปาก การให้น้ำเกลือทางเส้นเลือดดำเพื่อเพิ่มสารน้ำในร่างกาย การเคาะปอด การดูดเสมหะ สามารถให้ยาพ่นและยากินช่วยขยายหลอดลม ยาละลายเสมหะ ถ้ามีไข้ ให้เช็ดตัวลดไข้หรือกินยาน้ำแก้ไข้พาราเซ็ตตามอลได้