
💉วัคซีนมีความสำคัญต่อผู้สูงอายุอย่างไร
เมื่ออายุมากขึ้น ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจะทำงานได้ลดลง ทำให้ผู้สูงอายุมีความเสี่ยงในการติดเชื้อง่ายขึ้น และหากป่วยก็อาจมีอาการรุนแรง ต้องนอนโรงพยาบาล หรือเสี่ยงเสียชีวิตมากกว่ากลุ่มวัยอื่น วัคซีนจึงมีบทบาทสำคัญในการป้องกันโรค ลดความรุนแรง ลดโอกาสเข้ารักษาในห้องไอซียู และช่วยลดการเสียชีวิตได้
💉วัคซีนที่แนะนำสำหรับผู้สูงอายุ
โรคหลายชนิดพบได้บ่อยและรุนแรงขึ้นในผู้สูงอายุ เช่น โรคไข้หวัดใหญ่ โรคปอดอักเสบจากเชื้อนิวโมคอคคัส โรคโควิด-19 โรคงูสวัด รวมถึงโรคบาดทะยัก คอตีบ และไอกรน การฉีดวัคซีนเหล่านี้สามารถช่วยลดการป่วยรุนแรงและภาวะแทรกซ้อนได้ วัคซีนที่ควรพิจารณาสำหรับผู้สูงอายุ ได้แก่
- วัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ (แนะนำฉีดทุกปี)
- วัคซีนป้องกันโรคปอดอักเสบจากเชื้อนิวโมคอคคัสและปอดอักเสบไวรัส RSV
- วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19
- วัคซีนป้องกันโรคงูสวัด
- วัคซีนรวมบาดทะยัก คอตีบ และไอกรน (dT หรือ Tdap)

💉วัคซีนควรเริ่มฉีดเมื่ออายุเท่าไร
วัคซีนแต่ละชนิดมีข้อแนะนำต่างกัน เช่น
- วัคซีนปอดอักเสบ: เริ่มแนะนำตั้งแต่อายุ 60 ปีขึ้นไป
- วัคซีนงูสวัด: แนะนำตั้งแต่อายุ 50 ปีขึ้นไป
- วัคซีนไข้หวัดใหญ่ และโควิด-19: ฉีดได้ทุกช่วงอายุ โดยเฉพาะในผู้สูงอายุควรได้รับอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ การเลือกฉีดวัคซีนควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเหมาะสมตามสุขภาพและโรคประจำตัวของแต่ละคน
🩺การเตรียมตัวก่อนฉีดวัคซีน
- หากมีไข้หรือเจ็บป่วย ควรรอจนกว่าจะหายดีก่อน
- พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมาก ๆ
- ในวันฉีดวัคซีน สามารถรับประทานอาหารและยาประจำตัวได้ตามปกติ
🩺การสังเกตอาการหลังฉีดวัคซีน
อาการข้างเคียงที่พบบ่อย ได้แก่ ไข้ต่ำ ๆ ปวดเมื่อยตัว หรือบวมแดงบริเวณที่ฉีด ซึ่งมักหายได้เองภายใน 1–2 วัน หากไม่สบายสามารถรับประทานยาพาราเซตามอลหรือประคบร้อนได้ แต่หากมีอาการผิดปกติรุนแรง เช่น ผื่นลมพิษทั่วตัว แน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก หน้ามืดหรือเป็นลม ควรรีบไปโรงพยาบาลทันที เนื่องจากอาจเป็นภาวะแพ้วัคซีนรุนแรง (anaphylaxis)



สรุป: วัคซีนเป็นการลงทุนด้านสุขภาพที่สำคัญสำหรับผู้สูงอายุ ช่วยลดความเสี่ยงการเจ็บป่วยรุนแรงและการเสียชีวิตได้ การปรึกษาแพทย์เพื่อรับวัคซีนที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งที่ควรทำตั้งแต่วันนี้
วัคซีนไข้หวัดใหญ่

โรคไข้หวัดใหญ่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ (Influenza virus) ทำให้มีอาการไข้สูง ไอ น้ำมูก ปวดเมื่อยตามตัว หรือหอบเหนื่อย ความรุนแรงของโรคขึ้นอยู่กับสุขภาพและภูมิคุ้มกันของผู้ป่วย กลุ่มที่มีความเสี่ยงป่วยรุนแรงหรือเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ปอดอักเสบ ได้แก่
• เด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี
• ผู้สูงอายุ
• ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง (โรคหัวใจ โรคปอด เบาหวาน ฯลฯ)
• ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ผู้ป่วยมะเร็ง ผู้ที่ใช้ยากดภูมิ
• หญิงตั้งครรภ์
• ผู้ที่มีภาวะอ้วน
ในประเทศไทยพบการระบาดได้ตลอดทั้งปี โดยเฉพาะช่วงหน้าฝนและหน้าหนาว
วัคซีนไข้หวัดใหญ่มีทั้งแบบ 3 สายพันธุ์ และ 4 สายพันธุ์ โดยครอบคลุมไวรัสสายพันธุ์ A (2 สายพันธุ์) และสายพันธุ์ B (1–2 สายพันธุ์ ขึ้นกับชนิดวัคซีน) สายพันธุ์ที่นำมาผลิตวัคซีนจะปรับเปลี่ยนทุกปีตามข้อมูลการระบาด ทำให้เราจำเป็นต้อง ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ใหม่ทุกปี ประโยชน์ของวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ได้แก่ ลดโอกาสการป่วยรุนแรง ลดการนอนโรงพยาบาลและระยะเวลารักษา และลดความเสี่ยงเสียชีวิต โดยเฉพาะในผู้สูงอายุและกลุ่มโรคเรื้อรัง
โดยทั่วไปสามารถฉีดได้ในทุกกลุ่มอายุ ตั้งแต่เด็กจนกระทั่งผู้สูงอายุ แต่จะมุ่งเน้นไปยังกลุ่มเด็กเล็ก กลุ่มผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง คนท้อง ผู้ป่วยโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง โดยจำเป็นต้องฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ทุกปี โดยแนะนำฉีดวัคซีนช่วงเวลาก่อนหน้าฝนหรือหน้าหนาว ซึ่งเป็นช่วงที่มีการระบาดสูงสุด
ไม่ได้ วัคซีนแต่ละชนิดป้องกันเฉพาะโรคนั้น ๆ เท่านั้น วัคซีนไข้หวัดใหญ่ไม่สามารถป้องกันโควิด-19 หรือโรคหวัดธรรมดาได้ อย่างไรก็ตาม หากติดเชื้อโควิด-19 และไข้หวัดใหญ่พร้อมกัน จะทำให้ป่วยรุนแรงและมีภาวะแทรกซ้อนมากขึ้น การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่จึงช่วยลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อซ้ำซ้อน และลดโอกาสเสียชีวิตทางอ้อม
• หากมีประวัติแพ้ไข่เล็กน้อย เช่น มีผื่น ปากบวม ตาบวม สามารถฉีดได้
• แม้ในผู้ที่แพ้ไข่รุนแรง (Anaphylaxis) ก็ยังสามารถฉีดได้ แต่ต้องอยู่ในการดูแลและสังเกตอาการโดยบุคลากรทางการแพทย์
วัคซีนไข้หวัดใหญ่ที่ใช้ในประเทศไทยเป็นชนิดเชื้อตาย (Inactivated vaccine) สามารถฉีดพร้อมกับวัคซีนอื่น ๆ ได้ อาการข้างเคียงที่พบบ่อย ได้แก่ ไข้ต่ำ ปวดเมื่อย หรือบวมแดงบริเวณที่ฉีด ซึ่งมักหายได้เองภายใน 1–2 วัน
วัคซีนปอดอักเสบ

ปอดอักเสบ หรือ Pneumonia เป็นภาวะที่ปอดมีการอักเสบจากการติดเชื้อหรือสาเหตุอื่น ๆ ทำให้ถุงลมและเนื้อปอดบวมเต็มไปด้วยน้ำหรือหนอง ผู้ป่วยจะมีอาการไอ มีเสมหะ ไข้ หอบเหนื่อย และอาจเจ็บหน้าอกได้ สาเหตุที่พบบ่อยคือการติดเชื้อ โดยเชื้อที่ทำให้เกิดปอดอักเสบมีหลายชนิด ได้แก่ แบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา หรือโปรโตซัว ความรุนแรงของโรคแตกต่างกันไป ตั้งแต่ป่วยเล็กน้อยจนถึงอันตรายถึงชีวิต โดยเฉพาะในเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคประจำตัว
แม้ทุกคนมีโอกาสป่วยเป็นปอดอักเสบได้ แต่บางกลุ่มมีความเสี่ยงสูงกว่าคนทั่วไป ได้แก่
• เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี
• ผู้สูงอายุ โดยเฉพาะอายุ 60 ปีขึ้นไป
• ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคปอด เบาหวาน ไตวายเรื้อรัง
• ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ผู้ป่วยมะเร็ง ผู้ติดเชื้อเอชไอวี ผู้ที่ใช้ยากดภูมิ
• หญิงตั้งครรภ์
หากบุคคลเหล่านี้ติดเชื้อ อาการมักจะรุนแรงขึ้นและเสี่ยงต่อการเสียชีวิตมากกว่าคนทั่วไป
การป้องกันปอดอักเสบสามารถทำได้โดยการรักษาสุขภาพพื้นฐาน เช่น การล้างมือบ่อย ๆ รับประทานอาหารมีประโยชน์ พักผ่อนเพียงพอ และที่สำคัญคือการฉีดวัคซีน วัคซีนหลายชนิดช่วยลดโอกาสการติดเชื้อที่นำไปสู่ปอดอักเสบได้ ดังนี้
✅วัคซีนไข้หวัดใหญ่: แนะนำให้ฉีดทุกปี เนื่องจากไข้หวัดใหญ่อาจลุกลามจนเกิดปอดอักเสบ โดยเฉพาะในเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยโรคเรื้อรัง
✅วัคซีนโควิด-19: แม้สถานการณ์การระบาดจะเปลี่ยนแปลง แต่โควิด-19 ยังเป็นสาเหตุสำคัญของปอดอักเสบ วัคซีนช่วยลดความรุนแรงและอัตราการเสียชีวิต
✅วัคซีนปอดอักเสบนิวโมคอคคัส: เป็นวัคซีนที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันปอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียนิวโมคอคคัส ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการป่วยหนักและเสียชีวิต โดยเฉพาะในผู้สูงอายุและผู้ป่วยโรคประจำตัว
✅วัคซีนปอดอักเสบจากเชื้อ RSV: เชื้อ RSV เป็นสาเหตุสำคัญของปอดอักเสบในเด็กเล็กและผู้สูงอายุ ซึ่งทำให้เกิดปอดอักเสบรุนแรงได้ ปัจจุบันมีวัคซีนสำหรับใช้ในผู้สูงอายุและกลุ่มเสี่ยง
✅วัคซีนไอกรน (Pertussis): โรคไอกรนสามารถทำให้เกิดการติดเชื้อทางเดินหายใจรุนแรงและลุกลามเป็นปอดอักเสบได้ วัคซีนนี้มักให้ในวัยเด็ก และควรฉีดกระตุ้นในบางช่วงอายุ เช่น หญิงตั้งครรภ์ เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อสู่ทารก และในผู้ใหญ่หรือผู้สูงอายุ
• ผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ: แนะนำฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ทุกปี, วัคซีนโควิด-19 ฉีดทุกปีในกลุ่มเสี่ยงสูง, วัคซีนปอดอักเสบนิวโมคอคคัสตั้งแต่อายุ 65 ปีขึ้นไป, วัคซีนปอดอักเสบ RSV ตั้งแต่อายุ 60 ปีขึ้นไปและวัคซีนไอกรนกระตุ้นทุก 10 ปี
• หญิงตั้งครรภ์: ควรได้รับวัคซีนไข้หวัดใหญ่และวัคซีนไอกรน (Tdap) เพื่อป้องกันทั้งแม่และลูก
วัคซีนงูสวัด

โรคงูสวัดเป็นการติดเชื้อไวรัสชนิดเดียวกับที่ทำให้เกิดโรคอีสุกอีใส ผู้ที่เคยป่วยเป็นอีสุกอีใสจะมีเชื้อไวรัสแฝงอยู่ในร่างกาย เมื่อภูมิคุ้มกันลดลงเชื้อจะกลับมาทำให้เกิดโรคงูสวัดได้ ลักษณะของโรคคือมีตุ่มน้ำใสตามแนวเส้นประสาทและมักมีอาการปวดแสบร้อนร่วมด้วย ขนาดของผื่นอาจแตกต่างกันไปตั้งแต่เล็กน้อยจนถึงเป็นบริเวณกว้าง หลังจากผื่นหาย ผู้ป่วยบางรายยังคงทรมานด้วยอาการปวดเส้นประสาทที่ยาวนานเป็นเดือนหรือเป็นปี โรคนี้สามารถเกิดได้ทั่วร่างกาย บางครั้งเกิดที่ใบหน้าหรือเข้าตา ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อน เช่น ปอดอักเสบ หรือไข้สมองอักเสบ อีกทั้งยังมีข้อมูลทางการแพทย์ที่พบว่า ผู้ที่เคยเป็นโรคงูสวัดมีความเสี่ยงสูงขึ้นต่อการเกิดโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมอง
ในประเทศไทยแนะนำให้ผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไปเริ่มฉีดวัคซีนงูสวัด เนื่องจากอุบัติการณ์ของโรคสูงขึ้นมากในวัยนี้ วัคซีนมีความสำคัญในการช่วยลดความรุนแรงของโรค กล่าวคือจากที่อาจมีผื่นจำนวนมากก็อาจเหลือเพียงเล็กน้อย นอกจากนี้ยังช่วยลดโอกาสการเกิดอาการปวดเส้นประสาทหลังโรคหาย (Postherpetic neuralgia) และลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้
สำหรับผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรงโดยทั่วไปยังไม่จำเป็นต้องฉีดวัคซีนก่อนอายุ 50 ปี อย่างไรก็ตามในบางกลุ่ม เช่น ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง อาจพิจารณาการฉีดวัคซีนได้ตามคำแนะนำของแพทย์cc
แม้จะได้รับวัคซีนแล้วก็ยังมีโอกาสเป็นโรคงูสวัดได้อยู่ แต่โอกาสจะน้อยลงและอาการจะไม่รุนแรงเท่าผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีน ที่สำคัญวัคซีนช่วยลดความเจ็บปวดและลดระยะเวลาที่โรคจะรบกวนชีวิตประจำวัน
หากเพิ่งหายจากโรคงูสวัดยังไม่จำเป็นต้องรีบฉีดวัคซีนทันที เนื่องจากร่างกายจะมีภูมิคุ้มกันชั่วคราวประมาณ 6 เดือน หลังจากนั้นจึงสามารถพิจารณาฉีดวัคซีนได้เพื่อเพิ่มการป้องกัน นอกจากนี้แม้ผู้ที่เคยเป็นโรคอีสุกอีใสหรือมีภูมิคุ้มกันต่อโรคอีสุกอีใสมาแล้ว ก็ยังมีความจำเป็นที่จะได้รับวัคซีนงูสวัดเพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคในอนาคต
จากข้อมูลปัจจุบัน วัคซีนงูสวัดยังไม่มีข้อแนะนำให้ฉีดเข็มกระตุ้นหลังจากฉีดครบตามเกณฑ์
วัคซีนที่ควรพิจารณาฉีดในช่วงหน้าฝน

หน้าฝนมักเป็นช่วงที่โรคติดเชื้อแพร่กระจายได้ง่าย โดยเฉพาะโรคทางเดินหายใจและโรคที่มียุงเป็นพาหะ ความชื้นและอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงทำให้เชื้อไวรัสและแบคทีเรียเจริญเติบโตได้ดี โรคบางชนิดอาจมีอาการเล็กน้อย แต่บางรายกลับรุนแรงจนต้องนอนโรงพยาบาลหรืออาจเสียชีวิต โชคดีที่ปัจจุบันมีวัคซีนหลายชนิดที่สามารถป้องกันได้
ไข้หวัดใหญ่ระบาดมากในช่วงหน้าฝนและหน้าหนาว ผู้ป่วยมักมีไข้สูง ไอ น้ำมูกไหล และอาจมีภาวะแทรกซ้อน เช่น ปอดอักเสบ วัคซีนไข้หวัดใหญ่ต้องฉีดเป็นประจำทุกปี เพราะสายพันธุ์ไวรัสเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา กลุ่มที่ควรได้รับวัคซีนมากที่สุด ได้แก่ เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง และหญิงตั้งครรภ์
แม้สถานการณ์จะเบาลง แต่เชื้อโควิด-19 ยังคงกลายพันธุ์และทำให้เกิดการติดเชื้อได้ โดยเฉพาะในผู้สูงอายุและผู้มีโรคประจำตัว การฉีดวัคซีนโควิด-19 ช่วยลดความรุนแรงของโรค ลดการนอนโรงพยาบาล และลดอัตราการเสียชีวิต
เชื้อนิวโมคอคคัสเป็นสาเหตุสำคัญของปอดอักเสบ หูน้ำหนวก เยื่อหุ้มสมองอักเสบ และติดเชื้อในกระแสเลือด วัคซีนช่วยลดความเสี่ยงการเจ็บป่วยรุนแรง โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป หรือผู้มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน โรคปอดเรื้อรัง หอบหืด โรคไตวายเรื้อรัง หรือโรคหัวใจ
RSV เป็นเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ พบมากในเด็กเล็กและผู้สูงอายุ อาการอาจเป็นเพียงไข้ ไอ น้ำมูกไหล แต่บางรายอาจรุนแรงถึงขั้นปอดอักเสบหรือหอบหืดกำเริบ ปัจจุบันมีวัคซีนสำหรับผู้สูงอายุและหญิงตั้งครรภ์ (เพื่อช่วยถ่ายทอดภูมิคุ้มกันไปยังทารก) ซึ่งช่วยลดโอกาสป่วยหนักจากเชื้อ RSV ได้
โรคไอกรนเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ทำให้ไอรุนแรงต่อเนื่องจนหายใจไม่ทัน หรือไอเรื้อรังเป็นเดือนๆ เสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนในเด็กเล็กและผู้สูงอายุ วัคซีนมักรวมอยู่กับวัคซีนคอตีบและบาดทะยัก ซึ่งสามารถฉีดกระตุ้นได้ในผู้ใหญ่และหญิงตั้งครรภ์ เพื่อช่วยป้องกันไม่ให้แพร่เชื้อไปสู่ทารก
หน้าฝนเป็นช่วงที่ยุงลายเพิ่มจำนวนมากขึ้น ทำให้มีการระบาดของโรคไข้เลือดออก การติดเชื้ออาจรุนแรงจนเกิดภาวะช็อกเลือดออกผิดปกติ นอนโรงพยาบาลและเสียชีวิตได้ ปัจจุบันมีวัคซีนไข้เลือดออกในประเทศไทย โดยมีข้อบ่งชี้ให้ฉีดในอายุ 4 ปีขึ้นไป ควรปรึกษาแพทย์ก่อนฉีดวัคซีน
บทสรุป
ช่วงหน้าฝนเป็นเวลาที่โรคติดเชื้อแพร่กระจายได้ง่าย วัคซีนที่ควรพิจารณา ได้แก่ วัคซีนไข้หวัดใหญ่ วัคซีนโควิด-19 วัคซีนปอดอักเสบนิวโมคอคคัส วัคซีน RSV วัคซีนไอกรน และวัคซีนไข้เลือดออก โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ ผู้มีโรคประจำตัว และหญิงตั้งครรภ์ วัคซีนจะช่วยลดความรุนแรงของโรค ลดการนอนโรงพยาบาล และลดอัตราการเสียชีวิตได้ การปรึกษาแพทย์เพื่อเลือกรับวัคซีนที่เหมาะสมกับอายุและสุขภาพจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามในฤดูฝนนี้
